ช่วยกันอ่อนหวาน ใช้น้ำตาลซองไม่เกิน 4 กรัม

โพสต์10 ก.พ. 2559 18:57โดยชัยพร ศิริวรรณยา   [ อัปเดต 10 ก.พ. 2559 19:35 ]

ผลสำรวจคนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยปีละ 30 กิโลกรัมต่อคน หรือวันละ 20 ช้อนชา สูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 3 เท่า เพราะมาตรฐานน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนำคือ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวันเท่านั้น การบริโภคน้ำตาลเกินก่อให้เกิดปัญหาโรคอ้วน เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง อาทิ ความดัน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น

          กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัทผู้ผลิตน้ำตาล ผู้ประกอบการโรงแรมสถานที่จัดประชุม เร่งรณรงค์สร้างค่านิยม "คนไทยอ่อนหวาน ใช้น้ำ ตาลซองไม่เกิน 4 กรัม" โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการน้ำตาลทรายบรรจุซอง 47 แห่ง ให้ผลิตน้ำตาลซองขนาด 4 กรัม พร้อมขอความร่วมมือโรงแรม สถานที่จัดประชุม ประมาณ 8,000 แห่ง หันมาใช้น้ำตาลซองขนาด 4 กรัม



          ทั้งนี้น้ำตาลอยู่ในอาหารมื้อหลักอยู่แล้ว เช่น กับข้าว ขนม ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงยาก ดังนั้น เครื่องดื่มจึงมีทางเลือก ชา กาแฟที่คนไทยนิยมใส่น้ำตาลเพื่อลดความขมนั้น หากหันมาใช้น้ำตาลซอง 4 กรัม จะลดปริมาณน้ำตาลได้คนละประมาณ 3 กิโลกรัมต่อปี หรือเทียบเท่าพลังงานที่ใช้ในการเดินไปกลับกรุงเทพฯ สระบุรี

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายจัดทำโครงการอาหารว่างเพื่อสุขภาพ หรือเฮลท์ตี้มีทติ้ง (Healthy Meeting) เน้น อาหารว่างที่ให้พลังงาน ต่ำกว่า 150 กิโลแคลอรีต่อวัน เช่น ผลไม้ ขนมที่ไม่หวานจัด และใช้น้ำตาลซอง 4 กรัม
 
          "ได้รับความร่วมมือจากมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทยลงนามไปทั่วประเทศแล้วขณะนี้ รวมทั้ง กทม.ไปปรับอาหารว่างระหว่างประชุมเป็นผลไม้ ถ้าเสิร์ฟผลไม้โดยใช้น้ำตาล 4 กรัมเติมในชา กาแฟจะให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี"      อธิบดีกรมอนามัย กล่าวและว่า หลังจากนี้จะร่างหนังสือไปถึงปลัดทุกกระทรวงเพื่อขอความร่วมมือ นอกจากนี้กรมอนามัยยังได้จัดทำคู่มือ เฮลท์ตี้มีทติ้ง ที่รวมเมนูอาหาร อาหารว่าง สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของกรมอนามัย หรือโหลดได้ที่ www.ebook.in.th/anamaibook/
 
          ทั้งนี้มีคู่มือแนะอาหารว่างหลากเมนู อาทิ น้ำมะตูม เสิร์ฟพร้อมส้มโอให้พลังงาน 107. กิโลแคลอรี น้ำฝรั่ง เสิร์ฟพร้อมกับฟักทองนึ่ง ข้าวโพดต้ม กล้วยน้ำว้าต้ม ให้พลังงาน 192.7 กิโลแคลอรี กาแฟเสิร์ฟกับเค้กผลไม้ ส้มเช้ง ให้พลังงาน 166 กิโลแคลอรี เป็นต้น
 
         ภาคเอกชนที่ขานรับกับแคมเปญน้ำตาล 4 กรัม ได้แก่ ร้านกาแฟแบล็คแคนยอน 200 กว่าสาขา และร้านคาเฟ่ อเมซอน จำนวน 1,000 สาขา โดยเริ่มต้นที่สาขาแรกในกรมอนามัย พร้อมจะขยายไปทั่วประเทศในปี 59 นอกจากนี้ยังมีบริษัทน้ำตาลมิตรผล ห้างแม็คโคร ผลิตน้ำตาล 4 กรัมขาย
 
          นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การปรับลดน้ำตาลซอง 4 กรัม ทำให้ข้าราชการมีสุขภาพดีขึ้น ปัจจุบันไทยมีข้าราชการพลเรือน 358,735 คนทั่วประเทศ หากลดการบริโภคหวานลงได้จะช่วยยืดระยะเวลาให้กลุ่มผู้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้อีก ซึ่งในสังคมคนมี 3 กลุ่มคือกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่ใกล้จะเป็นเบาหวาน และกลุ่มที่เป็นแล้ว ซึ่งกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นยังมีพฤติกรรมการทานหวานมากเกินอยู่เป็นประจำ จึงมีโอกาสเป็นเบาหวานเร็วขึ้น
 
          เพราะฉะนั้นแคมเปญจำกัดลดน้ำตาลเหลือ 4 กรัม ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับน้ำตาลแต่ละวันลดลง ดังนั้นถ้าขับเคลื่อนในกลุ่มราชการและขยายไปสู่กลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งมีอีกประมาณ 80,000 คน รวมกันเกือบ 2 แสนคน ซึ่งในคนกลุ่มนี้แทนที่จะเป็นเบาหวานภายใน 2-3 ปี อาจจะชลอไป 5-7 ปี และยังช่วยลดปัญหาไขมันในหลอดเลือดสูงได้ด้วย
 
          ด้าน ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. บอกว่าเป้าหมายการรณรงค์ในอาหารว่าง จะเน้นทำไปที่กลุ่มราชการก่อน และจะใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียสื่อสารกับสังคมเรื่องการบริโภคน้ำตาลให้พอดี 4 กรัม เมื่อดื่ม ชา กาแฟ เพื่อกระตุ้นตลาด เมื่อตลาดมีความต้องการผู้ผลิตจะผลิตน้ำตาลซอง 4 กรัมออกมามากขึ้น ที่ผ่านมาน้ำตาลขนาด 4 กรัม หาซื้อยากมากเพราะตลาดไม่นิยม
 
          "โครงการนี้จะนำในรูปแบบการทำงานเรื่องนมต้องไม่หวาน สังคมรับรู้แล้วว่านมไม่ควรเติมน้ำตาล ผู้ผลิตก็หันมาผลิต ในยุคนี้กระแสเรื่องสุขภาพมาแรง ต่อไปเอกชน หรือร้านกาแฟทั่วไปก็จะผลิตสินค้ามาเพื่อรองรับตลาดเอง"
 
          ผู้จัดการ สสส. ยกตัวอย่างว่าในสิงคโปร์ มีมาตรการให้จำหน่ายอาหารสุขภาพในโรงเรียนแทนที่จะออกกฎหมายบังคับปรากฏว่าตลาดอาหารสุขภาพเติบโตขึ้นเอง ผู้ผลิตก็มาผลิตตาม สสส.พยายามเรียนรู้การทำงานแบบใหม่ จะไม่ใช้วิธีห้ามแต่จะสร้างกระแสให้สังคมรับรู้ เช่นเดียวกันบริษัทน้ำตาลอาจขายได้น้อยลง แต่ก็ได้ทำซีเอสอาร์ด้วยเมื่อมาร่วมกับโครงการ ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำตาลมีทางเลือกที่จะไปทำพลังงานได้มากกว่าจะนำมาบริโภคเพียงอย่างเดียว
 
          ความหวานนำไปสู่โรคไม่ติตต่อเรื้อรังหรือเอ็นซีดี (NCDs) ที่เป็นสาเหตุการตายร้อยละ 63 ของการตายทั้งหมดของประชากรโลก

แหล่งข่าวโดย » เดลินิวส์ คอลัมน์หมายเหตุประชาชน(13 ตค.58)

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคไข้ซิกา

โพสต์10 ก.พ. 2559 18:55โดยชัยพร ศิริวรรณยา

1. จากที่มีข่าวการระบาดของโรคไข้ซิกาในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (US-CDC) ประกาศเตือนพลเมืองของสหรัฐที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ในทุกระยะของการตั้งครรภ์ ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ระบาด 14 ประเทศ ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ เฟรนช์เกียนา กัวเตมาลา เฮติ ฮอนดูรัส มาร์ตีนิก เม็กซิโก ปานามา ปารากวัย ซูรินาเม เวเนซุเอลา และเครือรัฐเปอร์โตริโก

2. โรคไข้ซิกา (Zika fever) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา อยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (flavivirus) จำพวกเดียวกับ ไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี ไวรัสเวสต์ไนล์ และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี มียุงลาย เป็นแมลงนำโรค

3. มีระยะฟักตัวเฉลี่ย 4-7 วัน สั้นสุด 3 วัน และยาวสุด 12 วัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ ข้อบวม ปวดหลัง อาจมีอาการอื่นๆ ได้ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต และอุจจาระร่วง ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์ซึ่งอาจทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีสมองเล็ก (microcephaly) หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์

4. กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างกว้างขวาง เช่น ทวีปอเมริกา และทวีปแอฟริกาตะวันตก โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจติดเชื้อแล้วทำให้ทารกมีศีรษะเล็ก และสมองฝ่อได้ ส่วนในประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 5 ราย ซึ่งไม่ถือว่าสูงผิดปกติ อัตราป่วยใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวัง โรคนี้แล้ว ตั้งแต่ปี 2555

5. หากผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดในวงกว้าง รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในประเทศไทยมีอาการไข้ ออกผื่น ตาแดง หรือปวดข้อ สามารถมารับการรักษาและปรึกษาได้ที่ คลินิกเวชศาสตร์การท่องเที่ยวและการเดินทาง สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถรับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง

6. การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อโดยการตรวจเลือดผู้ป่วยในระยะเฉียบพลัน เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสซิกา ส่วนการตรวจหาแอนติบอดีไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากมีผลบวกลวงสูง และ สามารถส่งเลือดมาตรวจได้ที่สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้ง คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

7. ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเฉพาะ การรักษาจะรักษาตามอาการเพื่อบรรเทาการเจ็บป่วย

8. การป้องกัน ระวังไม่ให้ยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้งและทายากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย กำจัดลูกน้ำและยุงลายตัวแก่ หากป่วยด้วยอาการไข้ ออกผื่น เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ปวดข้อ อ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดศีรษะรุนแรงให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว

9. ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

***********************************

นายแพทย์อำนวย กาจีนะ 
อธิบดีกรมควบคุมโรค
ณ วันที่ 16 มกราคม 2559

 

แหล่งข่าวโดย » สำนักสารนิเทศ 

ครั้งแรกของโลกทีมวิจัยม.มหิดลสร้างแอนติบอดีรักษาไข้เลือดออก

โพสต์10 ก.พ. 2559 18:52โดยชัยพร ศิริวรรณยา

ครั้งแรกของโลก ทีมวิจัยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล สร้างแอนติบอดีจากมนุษย์สำหรับรักษาไข้เลือดออก ระบุทีมวิจัยฯ คว้ารางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นดีเด่นปี 59 จาก วช. พร้อมเข้ารับรางวัล 2 ก.พ.นี้ ที่ไบเทค บางนา


รศ.นสพ.ดร.พงศ์ราม รามสูต หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศการวิจัยแอนติบอดี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคไข้เลือดออกจัดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า 2 ใน 5 ของประชากรโลกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเดงกี และพบว่าประชากรประมาณ 100 ล้านคนทั่วโลกติดเชื้อไวรัส เดงกี ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ป่วยจำนวนถึง 5 แสนคน ที่เป็นโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรง ที่ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตถึง 2 หมื่นคนต่อปี ในการควบคุมและป้องกันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาหรือวัคซีนเฉพาะ การรักษาโรคไข้เลือดออกยังต้องใช้การรักษาตามอาการ
 
          ทีมวิจัยของศูนย์ความเป็นเลิศการวิจัยแอนติบอดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในโลกในการสร้างแอนติบอดีจากมนุษย์ (NhuMAb) โดยคัดเลือกจากเซลล์ของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกระยะเฉียบพลัน และผู้ป่วยระยะฟื้นไข้ เป็นแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้ครบทั้ง 4 สายพันธุ์ ได้ทดสอบในหนู และ ลิง พบว่า NhuMAb สามารถเพิ่มการรอดชีวิตของหนู และสามารถทำลายไวรัสไข้เลือดออกเดงกีในกระแสเลือดของลิงได้หมดภายใน 2 วัน โดยได้ดำเนินการวิจัยมาตั้งแต่ปี 2552 จดสิทธิบัตรมาแล้วใน 10 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาให้ใช้ได้ในมนุษย์ คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้จริงภายในระยะเวลาอันใกล้นี้
 
          รศ.นสพ.ดร.พงศ์ราม กล่าวอีกว่า NhuMAb ที่พัฒนาขึ้นนี้ เป็นประโยชน์กับการรักษาโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างมาก เพราะยังคงไม่มียารักษาเฉพาะ รวมทั้งใช้ลดความรุนแรงของอาการป่วยจากไข้เลือดออกได้ NhuMAb จึงเป็นอีกหนทางในการช่วยเหลือผู้ป่วยไข้เลือดออกทั่วโลกที่ต้องการได้ยารักษาและไม่อยากป่วยเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรง โดยทีมวิจัยของศูนย์ความเป็นเลิศการวิจัยแอนติบอดี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล จะเข้ารับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นดีเด่น ประจำปี 2559 ในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในงานวันนักประดิษฐ์ 2 กุมภาพันธ์ 2559 จัดที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา  กรุงเทพฯ

แหล่งข่าวโดย » คมชัดลึก(21 มค.59)

WHO ประกาศ "ไวรัสซิกา" เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน

โพสต์10 ก.พ. 2559 18:49โดยชัยพร ศิริวรรณยา   [ อัปเดต 10 ก.พ. 2559 18:50 ]

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า มาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก หรือ WHO กล่าวว่า การตอบสนองภายใต้ความร่วมมือระดับนานาชาติ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปรับปรุงการตรวจหาผู้ติดเชื้อ เร่งมือด้านการพัฒนาวัคซีนและการวิฉัยโรคที่ดีกว่าเดิม เดินหน้าป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา และเร่งมือพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่จำเป็นต้องจำกัดการเดินทางและการค้าระหว่างประเทศก็ตาม



           ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ไวรัสซิกา ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับภาวะพิการแต่แรกคลอดของทารกหลายพันคนในบราซิล กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เข้าเงื่อนไขต่าง ๆ จึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ องค์การอนามัยโลก ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา และคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 4 ล้านคน และขณะนี้ที่บราซิลพบเด็กทารกแรกคลอดที่มีอาการสมองเล็ก ซึ่งเกิดจากมารดาติดเชื้อไวรัสซิการะหว่างตั้งครรภ์แล้ว 3,700 คน

แหล่งข่าวโดย » เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (2 กพ.59)

23 โรคติดต่ออันตรายที่ต้องแจ้งความ

โพสต์10 ก.พ. 2559 18:45โดยชัยพร ศิริวรรณยา   [ อัปเดต 10 ก.พ. 2559 18:45 ]

    โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ถือเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอันตราย สามารถติดต่อกันได้ง่าย รวมทั้งถ้าหากเกิดการติดต่ออาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงควรแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ไว้เพื่อเป็นการระวังไว้ก่อน โดยโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความนั้น ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559) มีทั้งหมด 23 โรค ดังนี้
http://pr.moph.go.th/userfiles/iprg/images/eb143am1gc32


1. อหิวาตกโรค
2. กาฬโรค
3. ไข้ทรพิษ
4. ไข้เหลือง
5. ไข้กาฬหลังแอ่น
6. คอตีบ
7. โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด
8. โปลิโอ
9. ไข้หวัดใหญ่
10. ไข้สมองอักเสบ
11. โรคพิษสุนัขบ้า
12. ไข้รากสาดใหญ่
13. วัณโรค
14. แอนแทร็กซ์
15. โรคทริคิโนซิส
16. โรคคุดทะราด เฉพาะในระยะติดต่อ
17. โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก
18. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง
19. โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (ประกาศ ณ วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552)
20. ไข้เลือดออก (ประกาศ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552)
21. โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (ประกาศ ณ วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ 2557)
22. โรคเมอร์ส (MERS) (ประกาศ ณ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ 2558)
23. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา

รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม http://health.kapook.com/view122006.html

1-5 of 5